วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่ 2




โครงงานคอมพิวเตอร์ 

     หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

ความสำคัญของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

       โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ ผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ   ความสามารถที่เกิดจากการทำโครงงานคอมพิวเตอร์  
โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1.ความสามารถในการสื่อสาร
2.ความสามารถในการคิด
3.ความสามารถในการแก้ปัญหา
4.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 

ขอบข่ายของโครงงาน

ดำเนินงานโดยนักเรียน เป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์และครูอาจารย์ เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษามีองค์ประกอบดังนี้
    1. เป็นกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติดัวยตนเองโดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นมากแล้ว
    2. นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากว่าก็ได้ แล้วแต่โครงงานเล็กหรือใหญ่
   3. นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด สนใจ และความพร้อม
   4. นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงานและการแปลผล รายงานผลต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้

   5. เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คลังความรู้คลังข้อสอบ

รู้จักระบบ TCAS 61

   ระบบที่ใช้ในการคัดเลือกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2561 ใช้ชื่อว่า Thai University Central Admission System หรือ TCAS 61 เป็นระบบกลางในการบริหารจัดการการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของน้องๆ แบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 รอบ แต่ละรอบก็จะมีเงื่อนไขที่ต่างกัน ถ้าสอบติดในรอบไหนแล้วก็จะไม่สามารถสมัครในรอบต่อไปได้ โดยทั้ง 5 รอบประกอบไปด้วย
          รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
          รอบที่ 2 รอบรับแบบโควตา
          รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน
          รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น
          รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ


กำหนดการของระบบ TCAS 61

 รอบที่ 1 : การรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียนสำหรับ : นักเรียนทั่วไป นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ นักเรียนโควตา นักเรียนเครือข่าย
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก :ครั้งที่ 1 : 1 ตุลาคม 2560 – 30 พฤศจิกายน 2560
  • ประกาศผล : 22 ธันวาคม 2560
  • ครั้งที่ 2 : 22 ธันวาคม 2560 – 28 กุมภาพันธ์ 2561
  • ประกาศผล : 26 มีนาคม 2561
รอบที่ 2 : การรับแบบโควตาที่มีการสอบปฏิบัติและข้อเขียนสำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่หรือภาค โควตาโรงเรียนในเครือข่าย และโครงการความสามารถพิเศษ
  • คะแนนที่ต้องใช้ยื่น : GAT/PAT, 9 วิชาสามัญ
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ธันวาคม 2560 – เมษายน 2561
  • ประกาศผล : 8 พฤษภาคม 2561
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
รอบที่ 3 : การรับตรงร่วมกันสำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในโครงการ กสพท. (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย), โครงการอื่นๆ ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 9 – 13 พฤษภาคม 2561
  • ประกาศผล : 8 มิถุนายน 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยไม่มีลำดับ หมายความว่า 4 สาขาวิชา หรือ 4 มหาวิทยาลัยที่สมัครไปนั้นน้องๆ มีโอกาสผ่านการคัดเลือกทั้งหมด.. (แล้วค่อยเลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อในเคลียริ่งเฮาส์ของรอบที่ 3 อีกครั้ง) ซึ่งที่จะมีการจัดสอบร่วมกันในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเอง
รอบที่ 4 : การรับแบบ Admissionสำหรับ : นักเรียนทั่วไป
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 6 – 10 มิถุนายน 2561
  • ประกาศผล : 13 กรฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยมีลำดับ (เหมือนปีที่ผ่านมา)
รอบที่ 5 : การรับตรงแบบอิสระ (รอบเก็บตก)สำหรับ : นักเรียนทั่วไป
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ภายในเดือนกรกฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบได้ตามความต้องการ โดยที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะรับตรงด้วยวิธีการของมหาวิทยาลัยเอง
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง



จำนวนรับในระบบ TCAS 61


          รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)    44,258  ที่นั่ง
          รอบที่ 2 รอบรับแบบโควตา                           68,050  ที่นั่ง
          รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน                            44,390  ที่นั่ง
          รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น                                34,744  ที่นั่ง
          รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ                              15,064  ที่นั่ง


ก็บประเด็นงานแถลงข่าว

   ระบบ TCAS 61 เป็นระบบกลางที่ช่วยให้การบริหารจัดการการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย โดยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ลดการเดินทางสอบ ลดการได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบและอื่นๆ ลดช่องทางการเสียโอกาสในการสอบติดหลายที่และไม่เรียน และให้น้องๆ ได้ใช้เวลาในชีวิตมัธยมศึกษาให้มากที่สุด การสอบทั้งหมดจะเริ่มหลังจากที่เรียนจบ ม.6 แล้ว

   ระบบนี้ไม่ใช่ระบบเอนทรานซ์และไม่ใช่ระบบแอดมิชชั่น แต่เป็นระบบใหญ่ที่มีรอบแอดมิชชั่นเป็นส่วนหนึ่งของระบบ (คือ รอบที่ 4 นั่นเอง)

   การรับรอบที่ 1 รอบ Portfolio จะเป็นการสมัครโดยตรงกับมหาวิทยาลัย ใช้เป็นการสมัครแบบออนไลน์ อัพโหลดเอกสารและอาจจะมีการอัพโหลดความสามารถของตนเอง เช่น อัดคลิปการรำของตัวเอง ส่งให้โครงการรับตรงนั้นดู เป็นต้น  

   การรับรอบที่ 2 โควตา (ไม่ได้รับทั่วประเทศ) สมัครที่มหาวิทยาลัย รอบนี้จะเน้นการใช้คะแนนกลาง (O-NET, GAT PAT, วิชาสามัญ) แต่สามารถจัดสอบวิชาเฉพาะเพิ่มเองได้ แต่ต้องไม่ใช่วิชาที่การสอบกลางมีอยู่แล้ว โดยการจัดสอบต้องอยู่ในช่วง 24 ก.พ. - 12 เม.ย.61 และต้องไม่ทับกับ 3 ข้อสอบกลาง คือ O-NET, GAT PAT และ 9 วิชาสามัญ (สามารถจัดสอบวันธรรมดาได้)

   โครงการ กสพท จัดอยู่ในรอบ 3 ซึ่งในรอบนี้ สามารถเลือกได้ 4 อันดับ โดย กสพท นับเป็น 1 อันดับ ซึ่ง 3 อันดับที่เหลือห้ามเลือกคณะทับซ้อนกันกับ กสพท เช่น เลือกแพทย์ 4 อันดับใน กสพท แล้ว จะมาเลือกแพทย์อีก 3 อันดับไม่ได้ (บังคับกลายๆ ว่าถ้าน้องๆ เลือกแพทย์ใน กสพท ไปแล้วก็ต้องลงแค่ใน กสพท) 

   ถ้าติดรอบก่อนไปแล้ว เช่น ติดในรอบที่ 2 จะไม่สามารถสมัครในรอบต่อไป คือรอบที่ 3 ได้ เว้นแต่ว่าจะสละสิทธิ์ก่อนที่ ทปอ. จะส่งรายชื่อให้มหาวิทยาลัย (ต้องสละสิทธิ์ให้ทันเวลาของระบบ ซึ่งการสละสิทธิ์ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย )

   เด็กซิ่วมีสิทธิ์เท่ากับเด็ก ม.6 ปี 61 จะสมัครโครงการไหนก็ได้ ต้องยึดตามระเบียบการของแต่ละมหาวิทยาลัย

ต่างจากระบบเดิมยังไงบ้าง ?

  • การสอบของข้อสอบกลางทั้งหมดจะเลื่อนไปสอบหลังจากที่เด็กชั้น ม.6 เรียนจบการศึกษาแล้ว
  • GAT/ PAT จัดสอบระหว่างวันที่ 24 – 27 กุมภาพันธ์ 2561
  • O-NET จัดสอบระหว่างวันที่ 3 – 4 มีนาคม 2561
  • 9 วิชาสามัญ จัดสอบระหว่างวันที่ 17 – 18 มีนาคม 2561
  • กสพท. และวิชาเฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัย จัดสอบระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 12 เมษายน 2561
  • นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ภาษาเกาหลี เป็นภาษาเพิ่มเติมในการสอบ PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศด้วย
มีข้อดียังไงบ้าง ?
  • เพิ่มโอกาสความเท่าเทียมในการเข้ามหาวิทยาลัย
  • ลดปัญหาการกันสิทธิ์คนอื่น (กั๊กที่)
  • ลดปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคนรวยกับคนจน
  • แก้ปัญหาวิ่งรอกสอบ เพราะระบบใหม่จะจัดช่วงเวลาการสอบหลังจากที่เด็กชั้น ม.6 เรียนจบการศึกษาแล้ว
สำหรับเด็กซิ่ว

   เด็กซิ่วสามารถสมัครได้ทุกรอบที่มีการเปิดรับสมัคร โดยจะต้องเป็นไปตามคุณสมบัติและระเบียบการที่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งระบุไว้
*เด็กซิ่ว = เด็กที่ลาออกจากการเป็นนิสิตนักศึกษาแล้วกลับมาเข้าระบบเพื่อแอดมิชชั่นใหม่
สำหรับเด็กอินเตอร์
   กระทรวงศึกษาธิการเผยว่า เด็กที่จบจากโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย หรือ จบการศึกษาจากต่างประเทศ ไม่ต้องเทียบวุฒิการศึกษา โดยสามารถสมัครสอบ(ตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด) ได้ 3 รูปแบบ คือ
  • การสมัครในรอบที่ 1 : การรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียน
  • อาจเป็นการยื่นคะแนนทางวิชาการ IELTS, TOEFL, SAT เป็นต้น และมีมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • การสมัครในรอบที่ 3 หรือรอบที่ 5 : การรับตรงร่วมกัน, การรับตรงแบบอิสระ (รอบเก็บตก)
  • โดยต้องมีการสอบเพิ่มเติม หรือมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • การสมัครในรอบที่ 4 : การรับแบบ Admission
  • โดยต้องมีคะแนนและใช้องค์ประกอบคะแนนตามที่กำหนด
สำหรับเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฎ หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
นักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฎ หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จะสามารถสมัครในรอบที่ 1-3 และรอบที่ 5 แต่จะไม่มีกาสอบรอบที่ 4 (Admission) เพราะว่าจะเป็นช่วงเปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัยทั้ง 2 กลุ่มแล้ว
อย่างไรก็ตามสามารถติดตามและตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม ได้ผ่านทางเว็บไซต์ทางการ http://TCAS61.cupt.net
O-NET
ภาษาไทย O-NET
จำนวนข้อสอบ : 80 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
สังคมศึกษาฯ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 90 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
ภาษาอังกฤษ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 80 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
คณิตศาสตร์ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 40 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
วิทยาศาสตร์ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 58 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
GAT-PAT
  • GAT (ความถนัดทั่วไป)
   GAT ส่วนที่ 1
เวลาที่ใช้ในการสอบ 1 ชม. 30 นาที  20 ข้อ  150 คะแนน

   GAT ส่วนที่ 2
เวลาที่ใช้ในการสอบ 1 ชม. 30 นาที  60 ข้อ  150 คะแนน

  • PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  45 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  100 ข้อ  300 คะแนน
 
  • PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  70 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ : 3 ชม.  34 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 5
    ความถนัดทางวิชาชีพครู
เวลาที่ใช้ในการสอบ : 3 ชม.  120 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ :  3 ชม.  100 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 7
    ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  วิชาละ 100 ข้อ  300 คะแนน

*** PAT 7 มีวิชาดังนี้
  • PAT 7.1 : ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส 
  • PAT 7.2 : ความถนัดทางภาษาเยอรมัน
  • PAT 7.3: ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น                             
  • PAT 7.4 : ความถนัดทางภาษาจีน  
  • PAT 7.5 : ความถนัดทางภาษาอาหรับ  
  • PAT 7.6 : ความถนัดทางภาษาบาลี 
  • PAT 7.7 : ความถนัดทางภาษาเกาหลี  
คลังข้อสอบ

O-NET วิทยาศาสตร์




คลังความรู้เพิ่มเติม
 

 ผลจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้กำหนดให้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน
 (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ด้าน คุณสมบัติในสาขาวิชาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
นักวิชาชีพ หรือแรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษของอาเซียนได้อย่างเสรี ด้านคุณสมบัติในสาขาอาชีพหลัก เพื่ออำนวย
ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย นักวิชาชีพ แรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษได้อย่างเสรี ข้อตกลงเรื่องการเคลื่อนย้าย
แรงงาน ฝีมือไปทำงานในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้อย่างเสรี ได้กำหนดครอบคลุม 8 อาชีพ และก็มีข่าวว่าอาจจะมีการ
เพิ่มจำนวนอาชีพขึ้นมาอีกในลำดับถัดไป สำหรับ 8 อาชีพที่มีข้อตกลงกันแล้วให้สามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานได้อย่างเสรี ได้แก่

            -  อาชีพวิศวกร  (Engineering Services)
            -  อาชีพพยาบาล  (Nursing Services)
            -  อาชีพสถาปนิก  (Architectural Services)
            -  อาชีพการสารวจ  (Surveying Qualifications)         
            -  อาชีพนักบัญชี  (Accountancy Services)
            -  อาชีพทันตแพทย์  (Dental Practitioners)
            -  อาชีพแพทย์  (Medical Practitioners)
            -  อาชีพการบริการ/การท่องเที่ยว  (Tourism)


            และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรีในกลุ่ม 8 อาชีพนั้น มีผลดีต่อไทยไม่น้อย เพราะในภาพรวม สถาบันการศึกษา 
ระดับอุดมศึกษาในไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตบุคลากรในสายวิชาชีพทั้ง 8 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำ ให้ผู้จบ
 การศึกษาในสายวิชาชีพทั้ง 8 ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกมีตลาดงานที่เปิดกว้างมากขึ้น
            จากเดิมที่ตลาดมีแค่การให้บริการประชาชน 63 ล้านคน เป็นตลาดของประชาชนร่วม 600 ล้านคนใน 10 ประเทศอาเซียน 
นอกจากนั้น ประเทศเหล่านี้รวมทั้งไทยอยู่ในทิศทางที่กำลังเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้ง สิ้น เร็วบ้าง ช้าบ้าง และโดยภาพรวมคุณภาพ
ของผู้จบวิชาชีพทั้ง 8 ในไทยก็สูงอยู่ในระดับแถวหน้าของประเทศอาเซียน ทำให้โอกาสในการหางานมีสูง
            ในขณะที่คนไทยสามารถไปทำงานในประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีนั้น สภาวิชาชีพ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กับการดูแล มาตรฐานของอาชีพทั้ง 8 นั้น คงต้องมีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งรัดกุมเป็นอย่างมาก เพื่อรักษามาตรฐาน
ของผู้จบวิชาชีพ ในสาขาอาชีพนั้นๆ ในไทยให้คงเดิม หรือยกระดับให้สูงขึ้นไปอีกป้องกันมิให้เกิดการอ่อนด้อยในเรื่องมาตรฐานของ 
องค์กรในการผลิตคน บางแห่งที่อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มรายได้ในการเร่งผลิตคนในวิชาชีพเหล่านั้น จำนวนมากเพื่อตอบสนอง ตลาดที่ใหญ่ขึ้น
 มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบทางลบโดยรวมอีกปัญหาที่อาจะตามมาอีกอย่างคือ บางวิชาชีพไทยเริ่มจะเข้าสู่วิกฤตการขาดแคลนอาจารย์ เช่น ทันตแพทย์ ถ้าแก้ปัญหาไม่ ทันท่วงทีในเวลาอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า ไทยจะมีปัญหาเรื่องการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในสายวิชาชีพทันตแพทย์
อย่างแน่นอน      
            ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังดูแลในเรื่องมาตรฐานของคนจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่เข้ามาประกอบอาชีพทั้ง 8 อาชีพ ในไทยด้วย
เช่นกัน เพราะอาจจะมีผู้มาจากประเทศอื่นที่มาประกอบอาชีพในไทยมีปัญหาความอ่อนด้อยใน เรื่องมาตรฐาน ซึ่งถ้าดูแลไม่รอบคอบรัดกุม 
อาจก่อเกิดผลกระทบกับสังคมไทยในทางลบ และอาจส่งผลต่อปัญหาการประกอบอาชีพของ คนไทยเอง
            แต่ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม สังคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ จำนวนคนในวัยทำงานกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มีข้อมูล
ว่าอีกประมาณสิบปี ข้างหน้า สัดส่วนคนในวัยทำงานจะต่ำกว่าประชากรผู้สูงอายุมาก นี่จะทำให้เกิดการขาดแคลน แรงงาน โดยเฉพาะแรงงาน
ฝีมือในกลุ่มอาชีพทั้ง 8 นั้น ผู้ที่จบจากสายวิชาชีพดังกล่าวจะประกันได้ว่าไม่น่าจะมีใครที่ตกงาน เพราะมีตลาดใหญ่มากรองรับทั้งในไทย 
และในประเทศอาเซียน
            ข้อตกลงเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 8 อาชีพในปี 2015 (2558) แม้ จะเป็นโอกาสทองของคนไทยในสายวิชา
ชีพดังกล่าว แต่ก็มีจุดที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งในด้านการที่คนของเราไปทำงานบ้านเขา และการที่คนบ้านเขามาทำงานในบ้านเรา เพราะ
ถ้าการระวังไม่รัดกุม โอกาสทองนั้นอาจพลิกเป็นวิกฤต และมีผลกระทบรุนแรงต่อบางสายวิชาชีพได้


วันพฤหัสบดีที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 4

    ใบงานที่ 4


      ผลเสียที่ตามมาจากการ...นอนดึก

https://www.google.co.th/url?sa=i&rct=j&q=&esrc=s&source=images&cd=&cad=rja&uact=8&ved=0ahUKEwjQ7_W-893VAhWLsY8KHUJMDvIQjRwIBw&url=https%3A%2F%2Fsistacafe.com%2Fsummaries%2F6303-9%25E0%25B8%259C%25E0%25B8%25A5%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%25A2%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B5%25E0%25B9%2588%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2594%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2594%25E0%25B8%25B6%25E0%25B8%2581%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%259B%25E0%25B9%2587%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%25A2&psig=AFQjCNHknh7IwfPyLj6fC8VXu8zezVQY5A&ust=1503046710385861

สำหรับนักท่องราตรี ผู้ที่ชอบทำงานหรืออ่านหนังสือดึกๆ ตลอดจนติดละคร ติดรายการโทรทัศน์ จนทำให้ต้องนอนดึกอยู่เป็นประจำนั้น รู้หรือไม่ว่า? มีโทษต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เพราะการนอนดึก จะทำให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายมีปัญหา เสมือนเครื่องจักรที่ทำงาน Overload จนทำให้เครื่องรวน ซึ่งสามารถจำแนกได้คร่าวๆ ดังนี้
1. อารมณ์ไม่ดี 
คนที่นอนดึก พักผ่อนน้อย นอนหลับเพียงวันล่ะ4-5 ชั่วโมง เป็นเวลาต่อเนื่อง นานเกิน1 สัปดาห์นั้น มีแนวโน้มจะเป็นคนที่มี อารมณ์แปรปรวน มากกว่าคนที่นอนประมาณ 7 ชั่วโมงต่อคืน คนที่นอนน้อย นอนไม่พอ จะควบคุมอารมณ์ ได้น้อยกว่าคนที่นอนเพียงพอนั่นเอง
2. สมองเรียนรู้ ได้ช้าลง
การนอนหลับไม่เพียงพอ สามารถส่งผลให้สมองของเรา มีการรับรู้ เรียนรู้ได้ช้าลง ถ้าเราเพิ่ม ระยะเวลาในการนอนหลับ ก็จะเพิ่มประสิทธิภาพ ในการเรียนรู้ การจดจำ ของสมองได้มากขึ้น
3. โรคหัวใจ 
จากการทดลอง ในกลุ่มอาสาสมัคร ที่ไม่มีการนอนพักผ่อน เลยเป็นเวลา 88 ชั่วโมง ผลที่ได้คือ พวกเขาเหล่านั้น มีระดับความดันเลือดที่สูงมาก และอีกหนึ่งสิ่งที่ส่งผลให้อัตรา การเติบโตของหัวใจ ก็คือ สารโปรตีน ที่มาสะสมตัวมากขึ้น ในช่วงที่เราตื่น และจะถูกขับออกจากร่างกายโดยธรรมชาติ เมื่อเราหลับ เพราะฉะนั้นเวลานอนไม่เพียงพอ จึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้
4. ระบบภูมิคุ้มกันต่ำลง
เมื่อเรานอนน้อย กระบวนการต่างๆ ในร่างกาย ทำงานอย่างไม่มีระบบ การทำการฟื้นฟู และซ่อมแซม เซลล์ต่างๆที่สึกหรอ หรือผิดแปลกไปจากปกติ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอ เป็นหวัดง่าย แผลหายช้า รวมทั้งร่างกายติดเชื้อง่ายขึ้น

5. รู้สึกเฉื่อยชา
การพักผ่อนไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกาย ตอบสนองได้ช้าลงและทำให้มีอาการเฉื่อยชา มากกว่าคนที่นอนอย่างเพียงพอ
6.ขอบตาคลํ้า
เนื่องจากร่างกาย จะถูกบังคับให้ผลิตฮอร์โมนคาร์ติซอล ในการตอบสนองต่อภาวะ เครียด ต่างๆ เพื่อทำให้เรารู้สึกตื่นตัว ซึ่งก็จะทำให้ปริมาณเลือด ในร่างกาย มากขึ้น ส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัวมากขึ้นตามกัน เพราะฉะนั้น การหลับไม่เพียงพอ ก็เป็นปัจจัย ที่ทำให้ร่างกาย ของเรา เหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย และเครียดจนทำให้ขอบตาคลํ้า
7. สิวขึ้น 
สิวเกิดจากจากบนผิวหนังมีต่อมไขมันมาก ได้แก่ ใบหน้า แผ่นหลัง หน้าอก สิวเกิดจากภาวะที่เซลล์รูขุมขน ถูกอุดตัน จากสิ่งแปลกปลอม เช่น สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง นอกจากฮอร์โมนก็เป็นอีกสาเหตุ ยิ่งจิตใจกังวล ยิ่งทำให้สิวกำเริบหนักขึ้นการนอนดึก การพักผ่อน ไม่เพียงพอก็เป็นตัวกระตุ้น ต่อมไขมัน หลั่งไขมันให้สิวเพิ่มมากยิ่งขึ้น
8. ร่างกายขาดน้ำ
การนอนดึก ทำให้ร่างกายเสียนำ้มาก เนื่องจากร่างกายต้องใช้น้ำในการสร้างพลังงาน ระบายความร้อนและของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียนำ้และเกลือแร่ เมื่อเป็นเช่นนี้มากเข้า ทำให้ร่างกายขาดน้ำดูดซึมน้ำในทางเดินอาหารซึ่งส่งผลให้ระบบขับถ่ายแปรปรวน

9. สายตาพร่ามั่ว
การนอนน้อย ทำให้สายตา การมองเห็น ทำงานแย่ลงทำให้สายตาพร่ามั่ว มองเห็นไม่ชัด หากนอนไม่เพียงพอ ติดต่อกันไปเรื่อยๆเป็นระยะเวลาหลายคืน อาจมีอาการภาพหลอนร่วมด้วย
10. ปัสสาวะบ่อย
คนที่นอนน้อย นอนไม่เพียงพอติดกันนาน หลายวัน มีความเสี่ยงสูงที่ทำให้กล้ามเนื้อหูรูด ในท่อปัสสาวะอ่อนแอลงได้ จนกลายเป็นปัญหาการฉี่รดที่นอน
11.  การตัดสินใจผิดพลาด
เพราะการนอนไม่เพียงพอ ทำให้สมองทำงานช้าลง ความคิดช้าลง ก่อให้เกิด การตัดสินใจผิดพลาดได้
12. อาการปวดเรื้อรัง
คนที่เข้านอนในช่วงระหว่าง 5 ทุ่ม ถึงตี3 สารเคมีในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่องไปจากเดิม ไวต่อการปวดต่างๆ

13. อ้วน น้ำหนักเพิ่มขึ้น
คนที่พักผ่อนไม่เพียงพอมีแนวโน้มว่าจะมีนำ้หนักตัวเพิ่มขึ้น ง่ายกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ คนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายจะรู้สึกอยากอาหาร หิวง่าย ร่างกายจะอยากกินแต่อาหาร ที่มีแคลอรี่สูงเพื่อนำมาใช้เผาผลาญเป็นพลังงาน แก่ร่างกายของเรา และนี่คือสาเหตุสำคัญของการที่ทำให้นำ้หนักตัวเพิ่มมากขึ้น
14.ขี้ลืม
จากผลการวิจัยในปี 1924 เผยว่าผู้ป่วยที่เป็นโรค อัลไซเมอร์ ส่วนใหญ่ มีพฤติกรรมที่นอนน้อย เป็นผลให้เกิดการสะสมของโปรตีนแอมีลอยด์ บีตา ในเซลล์ประสาทหนาตัวขึ้น เป็นชั้น สมองจึงเสื่อมในขณะเดียวกันยังส่งผลต่อโครงสร้างของรูปสมองให้เปลี่ยนไปอีกด้วย จึงเป็นผลที่จดจำอะไรได้ไม่นาน
15.ไม่มีสมาธิ
เมื่อนอนไม่เพียงพอ ร่างกายจะอยู่ในสภาวะ มึนงง ไม่สามารถตั้งใจจดจ่อ กับสิ่งที่ทำอยู่ ไม่มีสมาธิจดจ่อ กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ส่งผลให้การทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ทำได้แย่ลง
16. ปวดหัว
คนที่มีโรคประจำตัว โรคไมเกรน นั้นมีโอกาสสูงที่จะกำเริบมากกว่าคนที่ไม่เป็นไมเกรน การนอนน้อยทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ อาการปวดหัวจึงเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีคนส่วนใหญ่ ที่นอนน้อยแต่ไม่มีอาการปวดหัวในตอนเช้า ในขณะที่มีคนอีกร้อยละ36-58 นอนไม่หลับในตอนกลางคืน แล้วตื่นเช้ามามีอาการปวดหัวเล็กน้อย
17.เบาหวาน
คนที่เป็นโรคเบาหวาน และมีอาการ นอนหลับที่ไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ระดับกูลโคสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีการเพิ่มของระดับอินซูลีน ขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ดังนั้น คนที่เป็นโรคเบาหวานจะมีระดับการเพิ่มกลูโคสถึง 23% และระดับอินซูลีนในเลือดเพิ่มขึ้น48% แต่ในทางตรงข้ามกัน หากนอนหลับอย่างเพียงพอจะช่วยลดนำ้ตาลในเลือดได้
18.มะเร็งเต้านม
มีการค้นพบว่า ผู้หญิงที่มีอายุระหว่าง 40-79ปี ที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีภาวะเสี่ยงถึง 62% ที่จะเป็นมะเร็งเต้านม ในขณะที่คนนอนมากกว่า 9ชั่วโมง มีความเสี่ยงน้อยกว่า ถึง28%
19. มะเร็งลำไส้
มีการศึกษา จากจำนวนคน 1,240 คน พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง ต่อคืน 47% มักมีอาการที่ก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ มากกว่า คนที่นอนหลับ อย่างน้อย 7ชั่วโมง ต่อคืน นักวิจัยตั้งข้อสันนิฐานเบื้องต้นว่า โรคมะเร็ง บางชนิด สามารถกำเริบได้หากมีพฤติกรรมนอนน้อย
20. ระบบการทำงานของเซลล์ในร่างกายผิดปกติ
การนอนน้อยกว่า 6ชั่วโมง ส่งผลให้กระบวนการทำงานของเซลล์ต่างๆ ภายในร่างกายผิดปกติ เป็นผลให้ระบบภูมิคุ้มกัน พร่องลงและยังทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมน เครียด เพิ่มขึ้นอีกด้วย หากเรานอนน้อยเป็นประจำ การทำงานของเซลล์ ในร่างกายจะผิดปกติ ไปจากเดิม

21. ไม่มีความสุข
การนอนไม่หลับในตอนกลางคืน ส่งผลให้มีอารมณ์แปรปรวน เพราะมีปัญหา เรื่องงาน เรื่องกิจกรรมในแต่ล่ะวัน มีผลงานวิจัยหนึ่งทำงานการทดลองวัดระดับความสุขในกลุ่ม อาสาสมัครผู้หญิงที่นอนหลับเต็มอิ่มทุกคืน พบว่าพวกเธอมีความสุขกับชีวิตมากกว่าคนที่นอนไม่หลับในตอนกลางคืน
22. พูดจาไม่รู้เรื่อง
เพราะผู้ที่นอนน้อย นอนดึก เป็นเวลาติดต่อกัน หลายวันพวกเขาจะไม่สามารถพูดสิ่งที่คิดออกมาได้ และสมองจะประมวลความคิดช้าลงทำให้พูดจาติดขัด พูดไม่รู้เรื่อง
23. เจ็บป่วยง่าย 
การนอนพักผ่อนไม่พอทำให้ร่างกายเป็นหวัดบ่อยกว่าปกติ เพราะร่างกายมีภูมิต้านทานโรคตำ่ลง ผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืนมีโอกาสป่วยมากกว่าคนที่นอนเกิน8ชั่วโมงต่อคืนเป็นสามเท่า
24.ระบบการย่อยอาหารเปลี่ยน
หากร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จะเกิดอาการล้า ระบบร่างกายจะรวนจนทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบท้องอืด ท้องเฟ้อ หากท้องผูกเป็นประจำ จะเกิดโรคริดสีดวงได้ มีรายงานระบุว่าคนที่มีพฤติกรรมนอนไม่พอนั้นกลายเป็นผู้ป่วยโรคกลุ่ม ลำไส้อักเสบเรื้อรังโดยมีอาการ ท้องเสียปนเลือดเป็นครั้งคราว... 
  นอกจากนี้การนอนดึกยังส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ไตทำงานหนัก แถมยังมีส่วนทำให้อ้วนได้อีกด้วย เห็นไหมละครับว่า เพียงแค่นอนดึกก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพของเราได้อย่างมากมายเพียงใด เพราะฉะนั้น หันมาทำจิตใจให้สงบ และเข้านอนแต่หัวค่ำกันเถอะ...








กิจกรรมที่ 4 ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

💻ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์💻    ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ ดังนี้             1.  การคัดเลือกหัวข้อโครงงาน (การตั้งชื่อโครงง...