วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

กิจกรรมที่ 4 ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์


💻ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์💻
  ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ ดังนี้
          1. การคัดเลือกหัวข้อโครงงาน (การตั้งชื่อโครงงานคอมพิวเตอร์ที่สนใจจะทำ)
          2. การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล
          3. การจัดทำข้อเสนอโครงงาน
          4. การลงมือพัฒนาโครงงาน
          5. การจัดทำรายงาน
          6. การนำเสนอและการแสดงผลงานของโครงงาน
          1. การคัดเลือกหัวข้อโครงงาน (การตั้งชื่อโครงงานคอมพิวเตอร์ที่สนใจจะทำ) 
             ปัญหาสำคัญในการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ประการหนึ่งคือ ผู้เรียนไม่ทราบว่าจะทำโครงงานเรื่องอะไร โดยทั่วไปเรื่องที่จะนำมาพัฒนาเป็นโครงงานคอมพิวเตอร์ มักจะได้มาจากเรื่องทั่วๆ ไป จากปัญหา คำถาม หรือความสนใจในเรื่องต่างๆ จากการสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบคอมพิวเตอร์ หรือสิ่งต่างๆ รอบตัว
             อย่างไรก็ตาม ในการตัดสินใจเลือกหัวข้อที่จะนำมาพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์ ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญๆ ดังนี้
             - เห็นประโยชน์และความคุ้มค่าของเรื่องที่จะทำโครงงาน
             - ต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานอย่างเพียงพอในหัวข้อเรื่องที่จะศึกษา
             - สามารถจัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องได้
             - มีแหล่งความรู้เพียงพอที่จะค้นคว้าหรือขอคำปรึกษาซึ่งรวมถึงผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ให้คำปรึกษา
             - มีเวลาเพียงพอ
             - มีงบประมาณเพียงพอ
             - มีความปลอดภัย
          2. การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล 
             การศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและแหล่งข้อมูล ซึ่งรวมถึงการขอคำปรึกษาจากครูผู้เชี่ยวชาญ ปราชญ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น จะช่วยให้ผู้เรียนได้แนวคิดที่ใช้ในการกำหนดขอบเขตของเรื่องที่จะศึกษาได้เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น รวมทั้งได้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องที่จะศึกษาจนสามารถใช้ออกแบบและวางแผนดำเนินการทำโครงงานนั้นได้อย่างเหมาะสม ในการศึกษาค้นคว้าดังกล่าว ผู้เรียนจะต้องบันทึกสรุปสาระสำคัญไว้ด้วย แหล่งข้อมูลที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่งคือ การศึกษาผลงานของโครงงานคอมพิวเตอร์จากงานแสดงนิทรรศการ หรือจากเอกสารรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจค้นหาได้จากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลก จะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับผู้เรียนในด้านความรู้ เทคนิคและวิธีการพัฒนา นอกจากนี้ยังทำให้เกิดแนวคิดที่จะดัดแปลงผลงานดังกล่าว มาจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์ในหัวข้อที่ตนสนใจด้วย ตัวอย่างเว็บไซต์ เช่น
             1) http://oho.ipst.ac.th เป็นเว็บไซต์ของสาขาคอมพิวเตอร์ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการสอนวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การประกวดโครงงานคอมพิวเตอร์
             2) http://www.nectec.or.th/nsc เป็นเว็บไซต์ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมให้ทุนวิจัยกับเยาวชนในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างโครงงาน และจัดการแข่งขัน
             3) http://www. nectec.or.th/ysc เป็นเว็บไซต์ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ที่เกี่ยวข้องกับโครงงานนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ที่จัดการแข่งขันคัดเลือกโครงงานของผู้เรียน เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันในโครงการของบริษัทอินเทล ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
             4) http://www.toryod.com เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมสิทธิบัตร สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่ผู้เรียนสามารถเข้าไปศึกษา แนวคิดเพื่อนำมาใช้สร้างโครงงาน หรือต่อยอดได้ 
             5) http://www.ipthailand.org เป็นเว็บไซต์ของกรมทรัพย์สินทางปัญญา
             6) http://www.bangcare.net เป็นเว็บไซต์ที่รวบรวมเทคโนโลยี สิ่งประดิษฐ์ที่อำนวยความสะดวกให้กับคนพิการ 
          3. การจัดทำข้อเสนอโครงงาน
             โดยทั่วไป การทำข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์มีขั้นตอนที่สำคัญดังนี้
             3.1 กำหนดขอบเขตงาน 
                  วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทบทวนเอกสารวิชาการ เพื่อนำมากำหนดขอบเขต ลักษณะ และแนวทางในการวางแผนจัดทำโครงงาน
             3.2 การออกแบบการพัฒนา 
                  การออกแบบพัฒนา มีการกำหนดลักษณะของคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ ตัวแปล ภาษา และวัสดุต่างๆ ที่ต้องใช้กำหนด คุณลักษณะของผลงาน ระบุเทคนิคที่ใช้ในการพัฒนา พร้อมทั้งกำหนดตารางการปฏิบัติงาน
             3.3 พัฒนาโครงงานขั้นต้น 
                  การพัฒนาโครงงานขั้นต้น เป็นการลงมือปฏิบัติเพื่อศึกษาความเป็นไปได้เบื้องต้น โดยอาจทำการพัฒนาส่วนย่อยๆ บางส่วนตามที่ได้ออกแบบไว้โดยนำผลจากการปฏิบัติ ไปปรับปรุงแผนการปฏิบัติงานที่ออกแบบไว้ในครั้งแรกให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ขั้นตอนนี้เป็นทางเลือกสำหรับผู้เสนอโครงงานที่ต้องการตรวจสอบความเป็นไปได้ของโครงงานและหลักการ
             3.4 จัดทำและเสนอข้อเสนอโครงงานคอมพิวเตอร์
                  เขียนข้อเสนอโครงงานนำเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่ออาจารย์ที่ปรึกษาจะได้แนะนำในส่วนที่ยังบกพร่องอยู่อีกครั้ง ซึ่งจะทำให้การวางแผนและดำเนินการทำโครงงานเป็นไปอย่างราบรื่น
ขั้นตอนการจัดทำข้อเสนอโครงงาน
          4. การลงมือพัฒนาโครงงาน
             เมื่อข้อเสนอโครงงานได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว ก็เสมือนว่าการจัดทำโครงงานได้ผ่านพ้นไปแล้วมากกว่า50% ขั้นต่อไปจะเป็นการลงมือพัฒนาตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ ดังนี้
             4.1 การเตรียมการ 
                  ต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุอื่นๆ ที่จะใช้ในการทดลอง พร้อมทั้งจัดเตรียมสถานที่สำหรับใช้ในการพัฒนาให้พร้อมด้วย และควรเตรียมสมุดบันทึก หรือบันทึกเป็นแฟ้มข้อความไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับบันทึกการทำกิจกรรมต่างๆ ระหว่างทำโครงงาน ได้แก่ ได้ปฏิบัติอย่างไร ได้ผลอย่างไร มีปัญหาและแก้ไขได้หรือไม่ อย่างไร รวมทั้งข้อสังเกตต่างๆ ที่พบ
             4.2 การลงมือพัฒนา
                  4.2.1 ปฏิบัติตามแผนงานที่วางไว้ในเค้าโครง แต่อาจเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมได้ถ้าพบว่าจะช่วยทำให้ผลงานดีขึ้น
                  4.2.2 จัดระบบการทำงานโดยทำส่วนที่เป็นหลักสำคัญให้แล้วเสร็จก่อน จึงค่อยทำส่วนที่เป็นส่วนประกอบหรือส่วนเสริมเพื่อให้โครงงานมีความสมบูรณ์มากขึ้น และถ้ามีการแบ่งงานกันทำ ให้ทำความตกลงในการต่อเชื่อมชิ้นงานที่ชัดเจนด้วย
                  4.2.3 พัฒนาระบบงานด้วยความละเอียดรอบคอบ และบันทึกข้อมูลไว้อย่างเป็นระบบและครบถ้วน
                  4.2.4 คำนึงถึงความประหยัด ความปลอดภัย และระยะเวลาในการทำงาน 
             4.3 การตรวจสอบผลงานและแก้ไข 
                  การตรวจสอบความถูกต้องของผลงานเป็นความจำเป็น เพื่อให้แน่ใจว่าผลงานที่พัฒนาขึ้นทำงานได้ถูกต้องตรงกับความต้องการที่ระบุไว้ในเป้าหมาย และทำด้วยประสิทธิภาพสูงด้วย 
             4.4 การอภิปรายผลและข้อเสนอแนะ 
                  เมื่อพัฒนาผลงานเรียบร้อยแล้ว ให้จัดทำสรุปด้วยข้อความที่สั้นกะทัดรัดอย่างครอบคลุม เพื่อช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงสิ่งที่ค้นพบจากการทำโครงงาน และทำการอภิปรายผลด้วย เพื่อพิจารณาข้อมูลและผลที่ได้พร้อมกับนำไปหาความสัมพันธ์กับหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานที่ผู้อื่นได้ศึกษาไว้แล้ว ทั้งนี้ยังรวมถึงการนำหลักการ ทฤษฎี หรือผลงานของผู้อื่นมาใช้ประกอบ
การอภิปรายผลที่ได้ด้วย 

             4.5 แนวทางการพัฒนาโครงงานในอนาคตและข้อเสนอแนะ 
                  เมื่อทำโครงงานเสร็จสิ้นลงแล้ว ผู้เรียนอาจพบข้อสังเกต ประเด็นที่สำคัญหรือปัญหา ซึ่งสามารถเขียนเป็นข้อเสนอแนะและสิ่งที่ควรจะศึกษาหรือใช้ประโยชน์ต่อไปได้
          5. การจัดทำรายงาน 
             เมื่อทำโครงงานจนได้ข้อมูลอย่างเพียงพอและทำการวิเคราะห์ผล และสรุปผลแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ต้องทำคือการจัดทำรายงาน ซึ่งจะรวมถึงรายละเอียดต่างๆ ในการพัฒนา และคู่มือการใช้งานรายงานโครงงานคอมพิวเตอร์เป็นวิธีสื่อความหมายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้อื่นได้เข้าใจแนวคิด วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ข้อมูลที่ได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะต่างๆ 
เกี่ยวกับโครงงาน ในการเขียนรายงานนั้น ผู้เรียนควรใช้ภาษาที่อ่านและเข้าใจได้ง่าย ชัดเจน กระชับ และตรงไปตรงมา ให้ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ ดังต่อไปนี้
             1. ส่วนนำ
                ประกอบด้วย 
                1.1 ปกนอก
                1.2 ใบรองปก
                1.3 ปกใน
                1.4 บทคัดย่อ
                1.5 กิตติกรรมประกาศ
                1.6 สารบัญ
                1.7 คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อ (ถ้ามี) 
             2. ส่วนเนื้อเรื่อง
                ส่วนนี้กำหนดให้ทำแบบเป็นบท จำนวน 5 บท ประกอบด้วย
                2.1 บทที่ 1 บทนำ
                2.2 บทที่ 2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง
                2.3 บทที่ 3 อุปกรณ์และวิธีดำเนินการ
                2.4 บทที่ 4 ผลการดำเนินงาน
                2.5 บทที่ 5 สรุปผลการดำเนินงาน/อภิปรายผลการดำเนินงาน
             3. ส่วนอ้างอิง
                เป็นส่วนท้ายของรายงานโครงงาน ประกอบด้วย รายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม และภาคผนวก 
                3.1 รายการอ้างอิงหรือบรรณานุกรม 
                3.2 ภาคผนวก
                3.3 คู่มือการใช้งาน (ถ้ามี)
                     หากโครงงานที่ผู้เรียนจัดทำเป็นการพัฒนาระบบใหม่ขึ้นมา ให้ผู้เรียนจัดทำคู่มืออธิบายวิธีการใช้งานผลงานนั้นโดยละเอียด ซึ่งประกอบด้วย
                     - ชื่อผลงาน
                     - ความต้องการของระบบคอมพิวเตอร์ (ถ้ามี) ระบุรายละเอียดของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีเพื่อจะใช้ผลงานนั้นได้
                     - ความต้องการของซอฟต์แวร์ (ถ้ามี) ระบุรายชื่อซอฟต์แวร์ที่ต้องมีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อจะให้ผลงานนั้นทำงานได้อย่างสมบูรณ์
                     - คุณลักษณะของผลงาน อธิบายว่าผลงานนั้นทำหน้าที่อะไรบ้าง รับอะไรเป็นข้อมูลเข้า และส่งอะไรออกมาเป็นข้อมูลออก 
                     - วิธีการใช้งานของแต่ละฟังก์ชัน อธิบายว่าจะต้องกดคำสั่งใด หรือกดปุ่มใด 
                     - ข้อแนะนำในการใช้งาน เพื่อให้ผลงานนั้นสามารถทำงานได้ดีที่สุด
                     คู่มือการใช้งาน สามารถแยกออกจากรายงานฉบับสมบูรณ์ หรือใส่ไว้เป็นภาคผนวกของรายงานฉบับสมบูรณ์ก็ได้ แล้วแต่ดุลยพินิจของผู้จัดทำ ที่กล่าวมานี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการเขียนรายงานซึ่งเป็นการเขียนรายงานในลักษณะทั่วๆ ไป รูปแบบดังกล่าวนี้อาจไม่เหมาะสมกับโครงงานบางประเภทก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของโครงงาน ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดที่
ผู้เขียนรายงานควรตระหนักไว้อยู่เสมอคือควรเขียนรายงานให้ชัดเจน ใช้ศัพท์เทคนิคที่ถูกต้อง ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา และครอบคลุมประเด็นสำคัญๆ ทั้งหมดของโครงงาน
          6. การนำเสนอและการแสดงผลงานของโครงงาน 
               การนำเสนอและการแสดงผลงานเป็นขั้นตอนที่สำคัญอีกขั้นตอนหนึ่งของการทำโครงงาน เพื่อแสดงออกถึงผลิตผลของความคิด ความพยายามในการทำงานที่ผู้ทำโครงงานได้ทุ่มเท และเป็นวิธีที่ทำให้ผู้อื่นได้รับรู้และเข้าใจถึงผลงานนั้น การเสนอผลงานอาจทำได้ในหลายรูปแบบต่างๆ กัน เช่น การแสดงผลงานโดยไม่มีการอธิบายประกอบ การรายงานด้วยคำพูดในที่ประชุม การจัดนิทรรศการโดยโปสเตอร์ และอธิบายด้วยคำพูด โดยผลงานที่นำมาเสนอหรือจัดแสดงควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
               1) ชื่อโครงงาน
               2) ชื่อผู้จัดทำโครงงาน
               3) ชื่ออาจารย์ที่ปรึกษา
               4) คำอธิบายถึงที่มาและความสำคัญของโครงงาน
               5) วิธีการดำเนินการที่สำคัญ
               6) การสาธิตผลงาน
               7) ผลการสังเกตและข้อสรุปสำคัญที่ได้จากการทำโครงงาน
               ถ้าเป็นการรายงานด้วยคำพูดต่อที่ประชุม ควรมีการเตรียมการในประเด็นต่อไปนี้
               1) จัดลำดับความคิดในการนำเสนออย่างเป็นระบบและนำเสนออย่างตรงไปตรงมาด้วยภาษาที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย
               2) ทำความเข้าใจกับเรื่องที่จะอธิบายให้ดี รวมถึงเตรียมข้อมูลที่อาจต้องใช้ในการตอบคำถาม
               3) หลีกเลี่ยงการนำเสนอด้วยวิธีอ่านรายงาน
               4) ควรมองไปยังผู้ฟังขณะรายงาน
               5) ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา
               6) รายงานให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
               7) ควรใช้โปรแกรมนำเสนอประกอบการรายงาน
               8) ความเหมาะสมของเนื้อหาต่อผู้ฟัง
               9) ถ้าเป็นโครงงานพัฒนาผลงาน ผลงานนั้นควรจะอยู่ในสภาพที่ทำงานได้เป็นอย่างดี
การแสดงผลงานในรูปแบบของนิทรรศการ
               การทำโครงงานคอมพิวเตอร์ นอกจากจะเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้นำความรู้ทางคอมพิวเตอร์มาใช้แก้ปัญหา พัฒนาคิดค้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะทำงานวิจัยและประกอบอาชีพทางคอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้นด้วย ซึ่งในปัจจุบันนี้หลายประเทศทั่วโลกขาดแคลนบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงน่าที่จะจัดให้การทำโครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมในทุกระดับชั้น เพื่อนำไปสู่การพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต
วิดีโอที่เกี่ยวข้อง





💙💙💙💙💙💚💚💚💚💚💛💛💛💛💛💜💜💜💜💜

กิจกรรมที่ 3 ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์



💙ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์💙

     คอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยในทุก ๆ สาขาวิชา ดังนั้นโครงงานคอมพิวเตอร์จึงมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก ทั้งในลักษณะของเนื้อหา กิจกรรม และลักษณะของประโยชน์หรือผลงานที่ได้ ซึ่งอาจแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 5 ประเภท คือ

     1. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)
     2. โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
     3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)
     4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน (Application)
     5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)




1.โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา (Educational Media)

     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อเพื่อการศึกษา โดยการสร้างโปรแกรมบทเรียน หรือหน่วยการเรียน ซึ่งอาจจะต้องมีภาคแบบฝึกหัด บททบทวน และคำถามคำตอบไว้พร้อม ผู้เรียนสามารถเรียนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่ม การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยนี้ ถือว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์การสอน ไม่ใช่เป็นครูผู้สอน ซึ่งอาจเป็นการพัฒนาบทเรียนแบบ Online ให้นักเรียนเข้ามาศึกษาด้วยตนเองก็ได้
     โครงงานประเภทนี้สามารถพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ประกอบการสอนในวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาคอมพิวเตอร์ วิชาคณิตศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ วิชาสังคม วิชาชีพอื่น ๆ ฯลฯ โดยนักเรียนอาจคัดเลือกหัวข้อที่นักเรียนทั่วไปที่ทำความเข้าใจยาก มาเป็นหัวข้อในการพัฒนาโปรแกรมบทเรียน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมสอนวิธีการใช้งาน ระบบสุริยะจักรวาล โปรแกรมแบบทดสอบวิชาต่าง ๆ
         
2.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ (Tools Development)
         
     เป็นโครงงานเพื่อพัฒนาเครื่องมือมาใช้ช่วยสร้างงานประยุกต์ต่าง ๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นในรูปซอฟต์แวร์ ตัวอย่างของเครื่องมือช่วยงาน เช่น ซอฟต์แวร์วาดรูป ซอฟต์แวร์พิมพ์งาน ซอฟต์แวร์ช่วยการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ เป็นต้น สำหรับซอฟต์แวร์เพื่อการพิมพ์งานนั้นสร้างขึ้นเป็นโปรแกรมประมวลผลภาษา ซึ่งจะเป็นเครื่องมือให้เราใช้งานในงานพิมพ์ต่าง ๆ บนเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งรูปที่ได้สามารถนำไปใช้งานต่าง ๆ ได้มากมาย สำหรับซอฟต์แวร์ช่วยในการมองวัตถุในมุมต่าง ๆ ใช้สำหรับช่วยในการออกแบบสิ่งของต่าง ๆ เช่น โปรแกรมประเภท 3D
         
3. โครงงานประเภทจำลองทฤษฎี (Theory Experiment)

     เป็นโครงงานใช้คอมพิวเตอร์ในการจำลองการทดลองของสาขาต่าง ๆ เป็นโครงงานที่ผู้ทำต้องศึกษารวบรวมความรู้ หลักการ ข้อเท็จจริงและแนวความคิดต่าง ๆ อย่างลึกซึ้งในเรื่องที่ต้องการศึกษา แล้วเสนอเป็นแนวคิด แบบจำลอง หลักการ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสมการ สูตร หรือคำอธิบายก็ได้ พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการจำลองทฤษฎีด้วยคอมพิวเตอร์ การทำโครงงานประเภทนี้มีจุดสำคัญอยู่ที่ผู้ทำต้องมีความรู้เรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างดี ตัวอย่าง เช่น การทดลองเรื่องการไหลของเหลว การทดลองเรื่องพฤติกรรมของปลาอโรวาน่า ทฤษฎีการแบ่งแยกดีเอ็นเอ เป็นต้น

4. โครงงานประเภทการประยุกต์ใช้งาน(Application)
     เป็นโครงงานที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานเพื่อประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งอาคาร ซอฟต์แวร์สำหรับการผสมสี ซอฟต์แวร์สำหรับการระบุคนร้าย เป็นต้น โครงงานงานประเภทนี้จะมีการประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่าง ๆ ซึ่งอาจจะสร้างใหม่หรือปรับปรุงดัดแปลงของเดิมที่มีอยู่แล้วให้มี ประสิทธิภาพสูงขึ้นก็ได้ โครงงานลักษณะนี้จะต้องศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ก่อน แล้วนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการออกแบบ และพัฒนาสิ่งของนั้น ๆ ต่อจากนั้นต้องมีการทดสอบการทำงานหรือทดสอบคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์แล้วปรับปรุงแก้ไขให้มีความสมบูรณ์ โครงงานประเภทนี้นักเรียนต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ภาษาโปรแกรม และเครื่องมือต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจใช้วิธีทางวิศวกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการพัฒนาด้วย

5. โครงงานพัฒนาเกม (Game Development)
         
     เป็นโครงงานพัฒนาซอฟต์แวร์เกมเพื่อความรู้ และ/หรือ ความเพลิดเพลิน เช่น เกมหมากรุก เกมหมากฮอส เกมการคำนวณเลข ซึ่งเกมที่พัฒนาขึ้นนี้น่าจะเน้นให้เป็นเกมที่ไม่รุนแรง เน้นการใช้สมองเพื่อฝึกคิดอย่างมีหลักการ โครงงานประเภทนี้จะมีการออกแบบลักษณะและกฎเกณฑ์การเล่น เพื่อให้น่าสนใจเก่ผู้เล่น พร้อมทั้งให้ความรู้สอดแทรกไปด้วย ผู้พัฒนาควรจะได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเกมต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปและนำมาปรับปรุงหรือพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อให้ป็นเกมที่แปลกใหม่ และน่าสนใจแก่ผู้เล่นกลุ่มต่าง ๆ


💚วิดีโอที่เกี่ยวข้อง💚




>> อ้างอิง : http://www.acr.ac.th/acr/ACR_E-Learning/CAREER_COMPUTER/COMPUTER/M4/ComputerProject/content1.html
                              https://data.whicdn.com/images/82306526/superthumb.png
                   https://my.dek-d.com/smile_smile/writer/viewlongc.php?id=1051218&chapter=13


  



วันพุธที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2560

กิจกรรมที่ 2




โครงงานคอมพิวเตอร์ 

     หมายถึง กิจกรรมการเรียนที่นักเีรียนมีอิสระในการเลือกศึกษาปัญหาที่ตนเองสนใจ โดยจะต้องวางแผนการดำเนินงาน ศึกษา พัฒนาโปรแกรม โดยใช้ความรู้ทางกระบวนการวิศวกรรมซอฟต์แวร์ เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาโครงงาน เรื่องที่นักเรียนสนใจและคิดจะทำโครงงาน ซึ่งอาจมีผู้ศึกษามาก่อน หรือเป็นเรื่องที่นักพัฒนาโปรแกรมได้เคยค้นคว้าและพัฒนาแล้ว นักเรียนสามารถทำโครงงานเรื่องดังกล่าวได้ แต่ต้องคิดดัดแปลงแนวทางในการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล การพัฒนาโปรแกรม หรือศึกษาเพิ่มเติมจากผลงานเดิมที่มีผู้รายงานไว้ จุดมุ่งหมายสำคัญของการทำโครงงานเป็นการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงในการใช้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ปัญหา ประดิษฐ์คิดค้น หรือค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ ใช้คอมพิวเตอร์ในการพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อการศึกษา ประดิษฐ์ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ใช้สอยต่างๆ พัฒนาโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ เพื่อฝึกให้นักเรียนเป็นบุคคลที่ใฝ่เรียนใฝ่รู้ การพัฒนาความคิดใหม่ๆ ความมีคุณธรรมจริยธรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ให้กับเพื่อนมนุษย์ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข

ความสำคัญของการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

       โครงงานคอมพิวเตอร์ คือ ผลงานที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจ ความถนัดและความสามารถของผู้เรียน โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานจึงเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยผู้เรียนจะหาหัวข้อโครงงานที่ตนเองสนใจ รวมทั้งเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อสร้างผลงานตามความต้องการได้อย่างเหมาะสม โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำ   ความสามารถที่เกิดจากการทำโครงงานคอมพิวเตอร์  
โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดความสามารถในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ 5 ประการ ดังนี้
1.ความสามารถในการสื่อสาร
2.ความสามารถในการคิด
3.ความสามารถในการแก้ปัญหา
4.ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต
5.ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 

ขอบข่ายของโครงงาน

ดำเนินงานโดยนักเรียน เป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์และครูอาจารย์ เป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษามีองค์ประกอบดังนี้
    1. เป็นกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนศึกษา ค้นคว้า ปฏิบัติดัวยตนเองโดยอาศัยหลักวิชาการทางทฤษฎีตามเนื้อหาโครงงานนั้นๆ หรือจากประสบการณ์และกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นมากแล้ว
    2. นักเรียนทุกคนพิจารณาจัดทำโครงงานด้วยตนเอง หรือเป็นกลุ่มโดยใช้ระยะเวลาสั้นๆ เป็นภาคเรียน หรือมากว่าก็ได้ แล้วแต่โครงงานเล็กหรือใหญ่
   3. นักเรียนเป็นผู้พิจารณาริเริ่มสร้างสรรค์ คัดเลือกโครงงานที่จะศึกษาค้นคว้าปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัด สนใจ และความพร้อม
   4. นักเรียนเป็นผู้เสนอโครงงาน รายละเอียดของโครงงาน แผนปฏิบัติงานและการแปลผล รายงานผลต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานร่วมกันให้บรรลุตามจุดหมายที่กำหนดไว้

   5. เป็นโครงงานที่เหมาะสมกับความรู้ ความสามารถของนักเรียนตามวัยและสติปัญญา รวมทั้งการใช้จ่ายเงินดำเนินงานด้วย

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

คลังความรู้คลังข้อสอบ

รู้จักระบบ TCAS 61

   ระบบที่ใช้ในการคัดเลือกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปีการศึกษา 2561 ใช้ชื่อว่า Thai University Central Admission System หรือ TCAS 61 เป็นระบบกลางในการบริหารจัดการการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของน้องๆ แบ่งออกเป็นทั้งหมด 5 รอบ แต่ละรอบก็จะมีเงื่อนไขที่ต่างกัน ถ้าสอบติดในรอบไหนแล้วก็จะไม่สามารถสมัครในรอบต่อไปได้ โดยทั้ง 5 รอบประกอบไปด้วย
          รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)
          รอบที่ 2 รอบรับแบบโควตา
          รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน
          รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น
          รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ


กำหนดการของระบบ TCAS 61

 รอบที่ 1 : การรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียนสำหรับ : นักเรียนทั่วไป นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ นักเรียนโควตา นักเรียนเครือข่าย
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก :ครั้งที่ 1 : 1 ตุลาคม 2560 – 30 พฤศจิกายน 2560
  • ประกาศผล : 22 ธันวาคม 2560
  • ครั้งที่ 2 : 22 ธันวาคม 2560 – 28 กุมภาพันธ์ 2561
  • ประกาศผล : 26 มีนาคม 2561
รอบที่ 2 : การรับแบบโควตาที่มีการสอบปฏิบัติและข้อเขียนสำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในเขตพื้นที่หรือภาค โควตาโรงเรียนในเครือข่าย และโครงการความสามารถพิเศษ
  • คะแนนที่ต้องใช้ยื่น : GAT/PAT, 9 วิชาสามัญ
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ธันวาคม 2560 – เมษายน 2561
  • ประกาศผล : 8 พฤษภาคม 2561
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง
รอบที่ 3 : การรับตรงร่วมกันสำหรับ : นักเรียนที่อยู่ในโครงการ กสพท. (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย), โครงการอื่นๆ ตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 9 – 13 พฤษภาคม 2561
  • ประกาศผล : 8 มิถุนายน 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยไม่มีลำดับ หมายความว่า 4 สาขาวิชา หรือ 4 มหาวิทยาลัยที่สมัครไปนั้นน้องๆ มีโอกาสผ่านการคัดเลือกทั้งหมด.. (แล้วค่อยเลือกมหาวิทยาลัยที่ต้องการศึกษาต่อในเคลียริ่งเฮาส์ของรอบที่ 3 อีกครั้ง) ซึ่งที่จะมีการจัดสอบร่วมกันในเวลาเดียวกัน โดยแต่ละมหาวิทยาลัยเป็นคนกำหนดเกณฑ์การคัดเลือกเอง
รอบที่ 4 : การรับแบบ Admissionสำหรับ : นักเรียนทั่วไป
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : 6 – 10 มิถุนายน 2561
  • ประกาศผล : 13 กรฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบและเลือกได้ 4 สาขาวิชา โดยมีลำดับ (เหมือนปีที่ผ่านมา)
รอบที่ 5 : การรับตรงแบบอิสระ (รอบเก็บตก)สำหรับ : นักเรียนทั่วไป
  • ช่วงวันเปิดรับสมัคร และวันคัดเลือก : ภายในเดือนกรกฎาคม 2561
  • การเลือกสอบ : สามารถสมัครสอบได้ตามความต้องการ โดยที่แต่ละมหาวิทยาลัยจะรับตรงด้วยวิธีการของมหาวิทยาลัยเอง
  • ยื่นสมัครและคัดเลือกโดย : สถาบันอุดมศึกษา/ มหาวิทยาลัยโดยตรง



จำนวนรับในระบบ TCAS 61


          รอบที่ 1 รอบใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio)    44,258  ที่นั่ง
          รอบที่ 2 รอบรับแบบโควตา                           68,050  ที่นั่ง
          รอบที่ 3 รอบรับตรงร่วมกัน                            44,390  ที่นั่ง
          รอบที่ 4 รอบแอดมิชชั่น                                34,744  ที่นั่ง
          รอบที่ 5 รอบรับตรงอิสระ                              15,064  ที่นั่ง


ก็บประเด็นงานแถลงข่าว

   ระบบ TCAS 61 เป็นระบบกลางที่ช่วยให้การบริหารจัดการการสมัครเข้ามหาวิทยาลัย โดยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ลดการเดินทางสอบ ลดการได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องค่าใช้จ่ายในการสมัครสอบและอื่นๆ ลดช่องทางการเสียโอกาสในการสอบติดหลายที่และไม่เรียน และให้น้องๆ ได้ใช้เวลาในชีวิตมัธยมศึกษาให้มากที่สุด การสอบทั้งหมดจะเริ่มหลังจากที่เรียนจบ ม.6 แล้ว

   ระบบนี้ไม่ใช่ระบบเอนทรานซ์และไม่ใช่ระบบแอดมิชชั่น แต่เป็นระบบใหญ่ที่มีรอบแอดมิชชั่นเป็นส่วนหนึ่งของระบบ (คือ รอบที่ 4 นั่นเอง)

   การรับรอบที่ 1 รอบ Portfolio จะเป็นการสมัครโดยตรงกับมหาวิทยาลัย ใช้เป็นการสมัครแบบออนไลน์ อัพโหลดเอกสารและอาจจะมีการอัพโหลดความสามารถของตนเอง เช่น อัดคลิปการรำของตัวเอง ส่งให้โครงการรับตรงนั้นดู เป็นต้น  

   การรับรอบที่ 2 โควตา (ไม่ได้รับทั่วประเทศ) สมัครที่มหาวิทยาลัย รอบนี้จะเน้นการใช้คะแนนกลาง (O-NET, GAT PAT, วิชาสามัญ) แต่สามารถจัดสอบวิชาเฉพาะเพิ่มเองได้ แต่ต้องไม่ใช่วิชาที่การสอบกลางมีอยู่แล้ว โดยการจัดสอบต้องอยู่ในช่วง 24 ก.พ. - 12 เม.ย.61 และต้องไม่ทับกับ 3 ข้อสอบกลาง คือ O-NET, GAT PAT และ 9 วิชาสามัญ (สามารถจัดสอบวันธรรมดาได้)

   โครงการ กสพท จัดอยู่ในรอบ 3 ซึ่งในรอบนี้ สามารถเลือกได้ 4 อันดับ โดย กสพท นับเป็น 1 อันดับ ซึ่ง 3 อันดับที่เหลือห้ามเลือกคณะทับซ้อนกันกับ กสพท เช่น เลือกแพทย์ 4 อันดับใน กสพท แล้ว จะมาเลือกแพทย์อีก 3 อันดับไม่ได้ (บังคับกลายๆ ว่าถ้าน้องๆ เลือกแพทย์ใน กสพท ไปแล้วก็ต้องลงแค่ใน กสพท) 

   ถ้าติดรอบก่อนไปแล้ว เช่น ติดในรอบที่ 2 จะไม่สามารถสมัครในรอบต่อไป คือรอบที่ 3 ได้ เว้นแต่ว่าจะสละสิทธิ์ก่อนที่ ทปอ. จะส่งรายชื่อให้มหาวิทยาลัย (ต้องสละสิทธิ์ให้ทันเวลาของระบบ ซึ่งการสละสิทธิ์ขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัย )

   เด็กซิ่วมีสิทธิ์เท่ากับเด็ก ม.6 ปี 61 จะสมัครโครงการไหนก็ได้ ต้องยึดตามระเบียบการของแต่ละมหาวิทยาลัย

ต่างจากระบบเดิมยังไงบ้าง ?

  • การสอบของข้อสอบกลางทั้งหมดจะเลื่อนไปสอบหลังจากที่เด็กชั้น ม.6 เรียนจบการศึกษาแล้ว
  • GAT/ PAT จัดสอบระหว่างวันที่ 24 – 27 กุมภาพันธ์ 2561
  • O-NET จัดสอบระหว่างวันที่ 3 – 4 มีนาคม 2561
  • 9 วิชาสามัญ จัดสอบระหว่างวันที่ 17 – 18 มีนาคม 2561
  • กสพท. และวิชาเฉพาะของแต่ละมหาวิทยาลัย จัดสอบระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ – 12 เมษายน 2561
  • นอกจากนี้ยังมีการเพิ่ม ภาษาเกาหลี เป็นภาษาเพิ่มเติมในการสอบ PAT7 ความถนัดทางภาษาต่างประเทศด้วย
มีข้อดียังไงบ้าง ?
  • เพิ่มโอกาสความเท่าเทียมในการเข้ามหาวิทยาลัย
  • ลดปัญหาการกันสิทธิ์คนอื่น (กั๊กที่)
  • ลดปัญหาความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างคนรวยกับคนจน
  • แก้ปัญหาวิ่งรอกสอบ เพราะระบบใหม่จะจัดช่วงเวลาการสอบหลังจากที่เด็กชั้น ม.6 เรียนจบการศึกษาแล้ว
สำหรับเด็กซิ่ว

   เด็กซิ่วสามารถสมัครได้ทุกรอบที่มีการเปิดรับสมัคร โดยจะต้องเป็นไปตามคุณสมบัติและระเบียบการที่มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งระบุไว้
*เด็กซิ่ว = เด็กที่ลาออกจากการเป็นนิสิตนักศึกษาแล้วกลับมาเข้าระบบเพื่อแอดมิชชั่นใหม่
สำหรับเด็กอินเตอร์
   กระทรวงศึกษาธิการเผยว่า เด็กที่จบจากโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย หรือ จบการศึกษาจากต่างประเทศ ไม่ต้องเทียบวุฒิการศึกษา โดยสามารถสมัครสอบ(ตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยกำหนด) ได้ 3 รูปแบบ คือ
  • การสมัครในรอบที่ 1 : การรับด้วยแฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) โดยไม่มีการสอบข้อเขียน
  • อาจเป็นการยื่นคะแนนทางวิชาการ IELTS, TOEFL, SAT เป็นต้น และมีมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • การสมัครในรอบที่ 3 หรือรอบที่ 5 : การรับตรงร่วมกัน, การรับตรงแบบอิสระ (รอบเก็บตก)
  • โดยต้องมีการสอบเพิ่มเติม หรือมีคุณสมบัติตามที่มหาวิทยาลัยกำหนด
  • การสมัครในรอบที่ 4 : การรับแบบ Admission
  • โดยต้องมีคะแนนและใช้องค์ประกอบคะแนนตามที่กำหนด
สำหรับเด็กที่จะเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฎ หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
นักเรียนที่ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยราชภัฎ หรือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล จะสามารถสมัครในรอบที่ 1-3 และรอบที่ 5 แต่จะไม่มีกาสอบรอบที่ 4 (Admission) เพราะว่าจะเป็นช่วงเปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัยทั้ง 2 กลุ่มแล้ว
อย่างไรก็ตามสามารถติดตามและตรวจสอบรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม ได้ผ่านทางเว็บไซต์ทางการ http://TCAS61.cupt.net
O-NET
ภาษาไทย O-NET
จำนวนข้อสอบ : 80 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
สังคมศึกษาฯ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 90 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
ภาษาอังกฤษ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 80 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
คณิตศาสตร์ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 40 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
วิทยาศาสตร์ O-NET
จำนวนข้อสอบ : 58 ข้อ 100 คะแนน
จำนวนเวลาที่ใช้สอบ : 120 นาที
GAT-PAT
  • GAT (ความถนัดทั่วไป)
   GAT ส่วนที่ 1
เวลาที่ใช้ในการสอบ 1 ชม. 30 นาที  20 ข้อ  150 คะแนน

   GAT ส่วนที่ 2
เวลาที่ใช้ในการสอบ 1 ชม. 30 นาที  60 ข้อ  150 คะแนน

  • PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  45 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  100 ข้อ  300 คะแนน
 
  • PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  70 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ : 3 ชม.  34 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 5
    ความถนัดทางวิชาชีพครู
เวลาที่ใช้ในการสอบ : 3 ชม.  120 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์
เวลาที่ใช้ในการสอบ :  3 ชม.  100 ข้อ  300 คะแนน

  • PAT 7
    ความถนัดทางภาษาต่างประเทศ
เวลาที่ใช้ในการสอบ 3 ชม.  วิชาละ 100 ข้อ  300 คะแนน

*** PAT 7 มีวิชาดังนี้
  • PAT 7.1 : ความถนัดทางภาษาฝรั่งเศส 
  • PAT 7.2 : ความถนัดทางภาษาเยอรมัน
  • PAT 7.3: ความถนัดทางภาษาญี่ปุ่น                             
  • PAT 7.4 : ความถนัดทางภาษาจีน  
  • PAT 7.5 : ความถนัดทางภาษาอาหรับ  
  • PAT 7.6 : ความถนัดทางภาษาบาลี 
  • PAT 7.7 : ความถนัดทางภาษาเกาหลี  
คลังข้อสอบ

O-NET วิทยาศาสตร์




คลังความรู้เพิ่มเติม
 

 ผลจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ได้กำหนดให้จัดทำข้อตกลงยอมรับร่วมกัน
 (Mutual Recognition Arrangements : MRAs) ด้าน คุณสมบัติในสาขาวิชาชีพหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนย้าย
นักวิชาชีพ หรือแรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษของอาเซียนได้อย่างเสรี ด้านคุณสมบัติในสาขาอาชีพหลัก เพื่ออำนวย
ความสะดวกในการเคลื่อนย้าย นักวิชาชีพ แรงงานเชี่ยวชาญ หรือผู้มีความสามารถพิเศษได้อย่างเสรี ข้อตกลงเรื่องการเคลื่อนย้าย
แรงงาน ฝีมือไปทำงานในประเทศกลุ่มอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ได้อย่างเสรี ได้กำหนดครอบคลุม 8 อาชีพ และก็มีข่าวว่าอาจจะมีการ
เพิ่มจำนวนอาชีพขึ้นมาอีกในลำดับถัดไป สำหรับ 8 อาชีพที่มีข้อตกลงกันแล้วให้สามารถเคลื่อนย้ายไปทำงานได้อย่างเสรี ได้แก่

            -  อาชีพวิศวกร  (Engineering Services)
            -  อาชีพพยาบาล  (Nursing Services)
            -  อาชีพสถาปนิก  (Architectural Services)
            -  อาชีพการสารวจ  (Surveying Qualifications)         
            -  อาชีพนักบัญชี  (Accountancy Services)
            -  อาชีพทันตแพทย์  (Dental Practitioners)
            -  อาชีพแพทย์  (Medical Practitioners)
            -  อาชีพการบริการ/การท่องเที่ยว  (Tourism)


            และการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรีในกลุ่ม 8 อาชีพนั้น มีผลดีต่อไทยไม่น้อย เพราะในภาพรวม สถาบันการศึกษา 
ระดับอุดมศึกษาในไทยมีศักยภาพในด้านการผลิตบุคลากรในสายวิชาชีพทั้ง 8 ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งทำ ให้ผู้จบ
 การศึกษาในสายวิชาชีพทั้ง 8 ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอกมีตลาดงานที่เปิดกว้างมากขึ้น
            จากเดิมที่ตลาดมีแค่การให้บริการประชาชน 63 ล้านคน เป็นตลาดของประชาชนร่วม 600 ล้านคนใน 10 ประเทศอาเซียน 
นอกจากนั้น ประเทศเหล่านี้รวมทั้งไทยอยู่ในทิศทางที่กำลังเติบโตทางด้านเศรษฐกิจทั้ง สิ้น เร็วบ้าง ช้าบ้าง และโดยภาพรวมคุณภาพ
ของผู้จบวิชาชีพทั้ง 8 ในไทยก็สูงอยู่ในระดับแถวหน้าของประเทศอาเซียน ทำให้โอกาสในการหางานมีสูง
            ในขณะที่คนไทยสามารถไปทำงานในประเทศอาเซียนได้อย่างเสรีนั้น สภาวิชาชีพ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กับการดูแล มาตรฐานของอาชีพทั้ง 8 นั้น คงต้องมีการดำเนินการอย่างเข้มแข็งรัดกุมเป็นอย่างมาก เพื่อรักษามาตรฐาน
ของผู้จบวิชาชีพ ในสาขาอาชีพนั้นๆ ในไทยให้คงเดิม หรือยกระดับให้สูงขึ้นไปอีกป้องกันมิให้เกิดการอ่อนด้อยในเรื่องมาตรฐานของ 
องค์กรในการผลิตคน บางแห่งที่อาจใช้โอกาสนี้เพิ่มรายได้ในการเร่งผลิตคนในวิชาชีพเหล่านั้น จำนวนมากเพื่อตอบสนอง ตลาดที่ใหญ่ขึ้น
 มิฉะนั้นอาจส่งผลกระทบทางลบโดยรวมอีกปัญหาที่อาจะตามมาอีกอย่างคือ บางวิชาชีพไทยเริ่มจะเข้าสู่วิกฤตการขาดแคลนอาจารย์ เช่น ทันตแพทย์ ถ้าแก้ปัญหาไม่ ทันท่วงทีในเวลาอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า ไทยจะมีปัญหาเรื่องการสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ในสายวิชาชีพทันตแพทย์
อย่างแน่นอน      
            ขณะเดียวกัน ก็ต้องระวังดูแลในเรื่องมาตรฐานของคนจากประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่เข้ามาประกอบอาชีพทั้ง 8 อาชีพ ในไทยด้วย
เช่นกัน เพราะอาจจะมีผู้มาจากประเทศอื่นที่มาประกอบอาชีพในไทยมีปัญหาความอ่อนด้อยใน เรื่องมาตรฐาน ซึ่งถ้าดูแลไม่รอบคอบรัดกุม 
อาจก่อเกิดผลกระทบกับสังคมไทยในทางลบ และอาจส่งผลต่อปัญหาการประกอบอาชีพของ คนไทยเอง
            แต่ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม สังคมไทยกำลังเข้าสู่ภาวะสังคมผู้สูงอายุ จำนวนคนในวัยทำงานกำลังลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มีข้อมูล
ว่าอีกประมาณสิบปี ข้างหน้า สัดส่วนคนในวัยทำงานจะต่ำกว่าประชากรผู้สูงอายุมาก นี่จะทำให้เกิดการขาดแคลน แรงงาน โดยเฉพาะแรงงาน
ฝีมือในกลุ่มอาชีพทั้ง 8 นั้น ผู้ที่จบจากสายวิชาชีพดังกล่าวจะประกันได้ว่าไม่น่าจะมีใครที่ตกงาน เพราะมีตลาดใหญ่มากรองรับทั้งในไทย 
และในประเทศอาเซียน
            ข้อตกลงเคลื่อนย้ายแรงงานเสรีในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้ง 8 อาชีพในปี 2015 (2558) แม้ จะเป็นโอกาสทองของคนไทยในสายวิชา
ชีพดังกล่าว แต่ก็มีจุดที่ต้องระวังอยู่ไม่น้อยเช่นกัน ทั้งในด้านการที่คนของเราไปทำงานบ้านเขา และการที่คนบ้านเขามาทำงานในบ้านเรา เพราะ
ถ้าการระวังไม่รัดกุม โอกาสทองนั้นอาจพลิกเป็นวิกฤต และมีผลกระทบรุนแรงต่อบางสายวิชาชีพได้


กิจกรรมที่ 4 ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์

💻ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์💻    ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ ดังนี้             1.  การคัดเลือกหัวข้อโครงงาน (การตั้งชื่อโครงง...